โยเกิร์ต (Yogurt) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ที่ใส่แบคทีเรียแลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส ลงไปหมักกับนม ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้นมเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต ที่มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว สารอาหารที่พบ คือ วิตามินB1, B2, B6, B12, โปรตีน, แคลเซียม, สังกะสี, ยีสต์ และแคลเซียม นอกจากนั้นยังมีแร่ธาตุและสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็งบางชนิด ปัญหากระดูกพรุน คำว่า Yogurt เกิดจากการผสมคำในภาษาทราเซียน ของคำว่า yog แปลว่าหนาหรือข้น และ urt แปลว่าน้ำนม เมื่อนำรวมกัน จึงเกิดคำว่า yoghurt ที่แปลว่าน้ำนมข้น
ประโยชน์ของโยเกิร์ต
1. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โยเกิร์ตจะประกอบด้วยแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส ที่จะช่วยความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ เร่งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในลำไส้ใหญ่ และลดการเปลี่ยนน้ำดีเป็นกรดน้ำดี ซึ่งจะทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
2. อาหารที่ย่อยง่าย โยเกิร์ตจะย่อยง่ายกว่านม ซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการทำโยเกิร์ต ซึ่งเกิดจากหมักนมและแบคทีเรียบางชนิด ทำให้โมโลกุลเปลี่ยนเป็นสิ่งที่สามารถย่อยได้ง่ายขึ้น และสามารถย่อยโปรตีนเคซีน ทำให้ง่ายต่อการดูดซึมและเกิดอาการแพ้ได้น้อยลง ในกระบวนการทำโยเกิร์ต น้ำตาลแล็กโทสจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกาแลคโตส และกลูโคส ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายแม้ในคนที่ไม่สามารถย่อยนมได้
3. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย แบคทีเรียในโยเกิร์ตจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการทำลายเชื้อโรค และยังช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
4. แหล่งของแคลเซียม โยเกิร์ต 8 ออนซ์ จะมีแคลเซียม 450 มิลลิกรัม (ซึ่งเป็นปริมาณเท่ากับแคลเซียมครึ่งหนึ่งที่ RDA แนะนำให้เด็กได้รับภายใน 1 วัน ซึ่งจะทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี, และเท่ากับ 30-40 % ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ผู้ใหญ่รับประทานใน 1 วัน) และแบคทีเรียในโยเกิร์ตจะช่วยดูดซึมแคลเซียมและแร่ธาตุผ่านในลำไส้ได้มากขึ้น ทำให้ได้แคลเซียมมากกว่าการรับประทานนมในปริมาณเท่ากัน
5. ลดระดับคอเลสเตอรอล จากการศึกษาพบว่าโยเกิร์ตสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลได้เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถกำจัดคอเลสเตอรอลได้ และยังรวมตัวกับกรดน้ำดี ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการสร้างคอเลสเตอรอลได้
รู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆ อย่าลืมหา โยเกิร์ต มารับประทานสักถ้วยนะคะ