“ความเครียด” เป็นภาวะทางอารมณ์ที่ทุกคนต้องพบเจอ
แต่ความเครียดที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบอย่างชัดเจนผ่านพฤติกรรมหรือร่างกายของเรา
หลายคนอาจมีอาการหัวใจเต้นเร็วและแรง
หายใจถี่
เหงื่อออกง่าย
ไม่สามารถอยู่นิ่ง
ๆ
ได้
หรือบางคนเมื่อเครียดแล้วกินข้าวไม่ลง
ในขณะที่อีกหลายคนเครียดแล้วอาจกินเยอะมากกว่าปกติ
จนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
รวมไปถึงการดูแลสุขภาพที่ยากเกินจะควบคุม
ทำไมเวลาเครียดจึงรู้สึกหิว?
เพราะความสัมพันธ์ของสมองและร่างกายมีความเกี่ยวเนื่องกัน
เมื่อความเครียดเกิดขึ้น
จะส่งผลต่อฮอร์โมนต่าง
ๆ
ในร่างกาย
หนึ่งในนั้นคือ
คอร์ติซอล
(ฮอร์โมนเครียด)
และเกรลิน
(ฮอร์โมนหิว) ที่จะส่งสัญญาณไปยังสมองทำให้เกิดความรู้สึกหิวมากกว่าปกติ
เมื่อเกิดความเครียด การได้กินอาหารจึงเป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อน้ำตาลกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานเดียวของสมอง
และความเครียดทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง
ร่างกายจึงต้องการน้ำตาลมาเติมเพื่อให้เกิดความสมดุล
ทำให้เรารู้สึกอยากกินของหวาน
รวมไปถึงของทอด
ที่ทำให้เรารู้สึกดีได้เสมอ
นอกจากนั้น
ร่างกายเราใช้ประสาทสัมผัสต่าง
ๆ
ในการรับรู้และสัมผัสกับเท็กซ์เจอร์กรอบ
ๆ
ที่ทำให้รู้สึกพอใจ
อีกทั้งการสัมผัสและบดเคี้ยวก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้ระบายและคลายเครียดเมื่อได้กินนั่นเอง
หากใครมีความเครียดเรื้อรัง
พฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลทำให้กินเยอะผิดปกติจนเป็นสาเหตุให้อ้วนขึ้นและเครียดกว่าเดิมได้
การแก้เครียดด้วยการกินจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิด
แต่นั่นไม่ใช่วิธีคลายเครียดที่ดีที่สุด
นางสาวจันทิมา เกยานนท์ นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ
บริษัท
เนสท์เล่
(ไทย
) จำกัด
แนะนำว่า
“หากเราใช้ใจหรือสมองอย่างเดียว
เพื่อเลือกกินในช่วงที่เครียด
อาจทำให้ขาดสมดุลในการกิน
เพราะอาหารที่ได้กินจะเป็นของที่ชอบและอร่อย
แต่สารอาหารอาจไม่เพียงพอต่อร่างกาย
เราจึงควรต้องใช้ทั้งใจและสมอง
เพื่อเลือกอาหารคลายเครียดอย่างสมดุล
ได้ทั้งความพึงพอใจและบาลานซ์เรื่องสุขภาพไปพร้อมกัน
ดังนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุด
คือ
การมีสติ
และกินให้ฮีลกายและใจอย่างเหมาะสมด้วยเทคนิค
“บวก แบ่ง แพลน” ที่มีความยืดหยุ่น
โดยสามารถกินของที่ชอบได้
ควบคู่ไปกับอาหารบำรุงสมองคลายเครียด
อาหารที่ดีและมีโภชนาการเหมาะสมกับร่างกาย
”
กินฮีลใจ
ด้วย
3
เทคนิค
“บวก
แบ่ง
แพลน
” ส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล
- บวก – “บวก” สารอาหารดี ๆ ให้ได้ครบหมู่ตามความต้องการของร่างกาย เช่น หากกำลังเครียดและต้องการกินของอร่อย ๆ ฮีลใจ ให้ลองจับคู่ของหวานกับผลไม้น้ำตาลน้อยเพื่อประโยชน์ที่เสริมกัน เพราะในของหวานจะมีทั้งน้ำตาลและไขมัน เมื่อจับคู่กับผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง จะช่วยลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาลได้ดีขึ้น
- แบ่ง – ควบคุมปริมาณการกินให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย เช่น หากปกติจะแก้เครียดด้วยการดูซีรีส์มาราธอนพร้อมกับป็อปคอร์นชามใหญ่ ลองเปลี่ยนเป็นการชวนเพื่อน ๆ มานั่งดูซีรีส์เพื่อแบ่งปันช่วงเวลาดี ๆ และขนมอร่อย ๆ ไปด้วยกัน โดยสามารถดูคำแนะนำการแบ่งกินได้ตามฉลากโภชนาการ หรือเลือกทานผลิตภัณฑ์โดยสังเกตสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมที่เหมาะสม
- แพลน – วางแผนมื้ออาหารแต่ละวันให้สมดุลกัน เช่น เมื่อจบการประชุมงานที่เคร่งเครียดในช่วงเช้า ต้องการเติมพลังด้วยบุฟเฟ่ต์ในมื้อเที่ยงก็สามารถทำได้ โดยวางแผนให้มื้อเย็นของวันนั้นเป็นมื้อที่เบาลง หรือเน้นกินผักผลไม้แทน นอกจากนั้น อาจใช้วิธีแพลนโดยการจัดจานแบบ 2:1:1 ที่สามารถกะได้ด้วยสายตา กำหนดให้แบ่งอาหารเป็นผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วนในบางมื้อที่สะดวก
นอกจากนี้ยังมี
5 อาหารคลายเครียด
ที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุขหรือช่วยลดฮอร์โมนความเครียด
ฮีลใจได้แบบบาลานซ์
เมื่อบวกกับเทคนิค
“บวก
แบ่ง
แพลน
” อย่างเหมาะสม
- ช็อกโกแลต – โกโก้มีส่วนประกอบของฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงสมอง และลดระดับฮอร์โมนความเครียดได้ อาจเลือกดาร์กช็อกโกแลตที่มีระดับโกโก้ 70% ขึ้นไป และควรแบ่งปริมาณการกินให้เหมาะสม
- ไอศกรีม - มีผลการวิจัยที่ระบุว่า การกินอาหารที่มีอุณหภูมิต่ำจะช่วยให้คลื่นไฟฟ้าสมองเพิ่มสูงขึ้น ช่วยให้ตื่นตัวและอารมณ์ดี รวมไปถึงน้ำตาลกลูโคสที่อยู่ในไอศกรีมยังเป็นพลังงานสำคัญต่อสมอง
- ธัญพืชไม่ขัดสี – หรือโฮลเกรน อุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโตฟาน เพื่อช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้มีความสุข อารมณ์ดี
- ชาเขียว / ชาดำ – มีกรดอะมิโน แอล-ธีอะนิน ที่ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินและโดพามีน รวมถึงลดฮอร์โมนเครียดอย่างคอร์ติซอลด้วยเช่นกัน
- ไข่ – โดยเฉพาะไข่แดง มีวิตามินบีสูง ช่วยให้สมองรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน รวมไปถึงโคลีนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้
ยังมีอีกหลายวิธีและเทคนิคที่ช่วยคลายเครียด
และทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้
ไม่ว่าจะเป็น
การทำสมาธิ
สูดหายใจเข้าลึก
ๆ
ช้า
ๆ
เป็นเวลา
5 นาที
การออกกำลังกายให้มากขึ้นเพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้น
การเขียนไดอารี่
เพื่อระบายความคิด
ความในใจ
รวมไปถึงพักผ่อนให้เพียงพอ
ด้วยการนอนหลับวันละ
7-
8 ชั่วโมง
เพื่อเติมพลังให้กับสมองและร่างกาย
ซึ่งถือเป็นวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การจัดการกับสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดให้ได้นั่นเอง