หวานอย่างไรให้พอดี ? นับว่ากำลังมาแรงสำหรับกระแสคนรักสุขภาพ แต่ถึงแม้จะทานอาหารเพื่อสุขภาพยังไง ร่างกายก็ยังคงต้องการความหวาน และในปัจจุบัน น้ำตาลก็มีให้เลือกมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลที่ให้รสหวาน ให้รสกลมกล่อม หรือน้ำตาลที่แคลอรี่ต่ำ น้ำตาลมีดีมากกว่าความหวาน ในหนึ่งวัน ร่างกายของคนเราจะต้องการน้ำตาลที่ได้จากอาหารประมาณ 100 - 400 กรัม (ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากแป้ง) เราอาจจะคิดว่า น้ำตาลกินแล้วมีแต่ให้รสหวาน หรือทำให้เราอ้วน แต่รู้หรือไม่ว่า น้ำตาลแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติและคุณประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป เรามาลองเลือกดูกันว่า ควรเลือกบริโภคน้ำตาลแบบไหนถึงจะเหมาะสม และช่วยให้เรายังมีสุขภาพที่ดีกันค่ะ
น้ำตาลทรายดิบ (Raw Sugar) คือ น้ำตาลทรายที่เก็บไว้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลทรายขาว โดยน้ำตาลทรายดิบจะมีสีน้ำตาลเข้ม มีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่ และมีความบริสุทธิ์ต่ำ ซึ่งโดยทั่วไปน้ำตาลชนิดนี้ไม่ใช่น้ำตาลที่เรานำมาบริโภค แต่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์เท่านั้น
น้ำตาลทรายขาว (White Sugar) คือ น้ำตาลที่ได้มาจากการสกัดเอาสิ่งเจือปนออกจากน้ำตาลทรายดิบ และเป็นที่นิยมในการใช้บริโภค เช่น เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม และนิยมนำไปทำเบเกอรี่ ในหนึ่งวันไม่ควรบริโภคน้ำตาลทรายเกิน 1 ช้อนชา (
น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม = พลังงาน 387 กิโลแคลอรี่)
เมนูแสนอร่อย ที่มีส่วนผสมจากน้ำตาลทรายขาว
น้ำตาลไอซิ่ง (Powdered Sugar) คือ น้ำตาลทรายที่ผ่านกระบวนการบดละเอียด ลักษณะเป็นผงสีขาว ละเอียดคล้ายแป้ง มีส่วนผสมของแป้งข้าวโพด เป็นหนึ่งในวัตถุดิบ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการทำผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่าง ๆ (
น้ำตาลไอซิ่ง 100 กรัม = พลังงาน 389 กิโลแคลอรี่)
เมนูแสนอร่อย ที่มีส่วนผสมจากน้ำตาลไอซิ่ง
น้ำตาลทรายแดง (Brown cane Sugar) ส่วนมากจะใช้ในอุตสาหกรรมผลิตซีอิ๊ว และใช้เป็นส่วนผสมในขนมไทยหรือขนมต่าง ๆ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบในการทำอาหารชีวจิต โดยน้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม ประกอบด้วยแคลเซียม 450 มิลลิกรัม ซึ่งมากเป็น 3 เท่าของน้ำตาลทรายขาว มีธาตุเหล็ก 20 มิลลิกรัม มากเป็น 2 เท่าของน้ำตาลทรายขาว นอกจากนี้ยังมีสารอื่น ๆ มากกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น แคลเซียม โซเดียม และธาตุเหล็ก จากอ้อยธรรมชาติอยู่ (
น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม = พลังงาน 380 กิโลแคลอรี่)
เมนูแสนอร่อย ที่มีส่วนผสมจากน้ำตาลทรายแดง
น้ำตาลมะพร้าว (Coconut Palm Sugar) หรือน้ำตาลปี๊บ รสชาติคล้ายน้ำตาลทรายแดง แต่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่ามาก โดยน้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม จะมีโปแตสเซียมประมาณ 1,030 มิลลิกรัม ในขณะที่น้ำตาลทรายแดงมีเพียง 6.5 มิลลิกรัม และน้ำตาลทรายขาวมี 2.5 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ รวมถึงวิตามินบางชนิดที่น้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายขาวไม่มี โปแตสเซียมนั้นมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับโคเลสเตอรอลและน้ำหนักตัว (น้ำตาลมะพร้าวปริมาณ 100 กรัม = พลังงาน 352 แคลอรี่)
เมนูแสนอร่อย ที่มีส่วนผสมจากน้ำตาลมะพร้าว
น้ำตาลโตนด (Palm Sugar) หรือน้ำตาลปึก คือน้ำตาลจากต้นตาล เรียกกันว่าน้ำตาลเมืองเพชร เพราะเพชรบุรีมีต้นตาลอยู่เยอะ มีลักษณะเป็นก้อนกลมสีน้ำตาลเข้มมีรสหวาน และเค็มเล็กน้อย นิยมนำมาประกอบอาหารคาวหวานอย่างส้มตำ ยำต่าง ๆ หรือจะทำน้ำกะทิลอดช่อง แทนน้ำตาลธรรมดา น้ำตาลโตนดนั้นดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และยังเป็นแหล่งโฟเลตเพื่อแม่และลูก อีกด้วย (
น้ำตาลโตนด 100 กรัม = พลังงาน 412 กิโลแคลอรี่)
น้ำเชื่อม (Syrup) เป็นน้ำตาลที่อยู่ในรูปของเหลว สามารถเตรียมได้จากการนำน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลชนิดต่าง ๆ มาละลายน้ำ และเคี่ยวจนได้สารละลายน้ำตาลเข้มข้น (น้ำเชื่อม 100 กรัม = พลังงาน 296 กิโลแคลอรี่)
เมนูแสนอร่อย ที่มีส่วนผสมจากน้ำเชื่อม
กากน้ำตาล (Molasses) คือ ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาล นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การผลิตสุรา แอลกอฮอล์ ผลิตผงชูรส น้ำส้มสายชู เป็นต้น อีกทั้ง กากน้ำตาล ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเอทานอล เพื่อใช้เป็นส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน ที่เรียกว่า แก๊สโซฮอล์ กากน้ำตาล (
100 กรัม = พลังงาน 249 กิโลแคลอรี่)
น้ำตาลแต่ละชนิดก็มีคุณค่าทางสารอาหาร และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการปรุงและการเลือกของผู้บริโภค แต่ถึงอย่างไรนั้นก็ไม่ควรทานเกินค่าโภชนาการต่อวัน และรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
เรื่องโดย
ปภาวี กะดามัน