มุกดาหาร ประตูหน้าด่านสู่อินโดจีน กับเมนู “ส้มตำปลาทับทิม ซีพี”
มุกดาหารเป็นเมืองเงียบ ๆ ค่อนไปทางเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้หลายอย่างมาก ทั้งแหล่งท่องเที่ยว ธรรมชาติ วัดวาอาราม อาหารการกิน และวิถีชุมชนที่ยังไม่แปรผันตามกาลเวลามากนัก ทริปนี้เราขอเปลี่ยนมาใช้ชีวิตแบบ Slow Life ด้วยการนั่งสามล้อตะลอนเที่ยวเมืองมุก ประตูด่านสำคัญสู่กลุ่มประเทศอินโดจีน
วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลร่วม 700 เมตร ภายในวัดมีรอยพระพุทธบาทจำลอง สร้างขึ้นจากหินทรายกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 1.8 เมตร ลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นราว 90 เซนติเมตร และมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์สีขาวกระจ่างองค์โต สูงกว่า 84 เมตร ขนาดอยู่ไกลออกไปถึงริมน้ำโขงก็ยังมองเห็นองค์พระตั้งอย่างโดดเด่น และสิ่งที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นแลนด์มาร์คสุดอลังการก็คือ
พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช รูปปั้นพญานาคสีเขียวอมฟ้าขนาดใหญ่ สูงถึง 20 เมตร ที่ดึงดูดเราให้มาเยือนที่นี่เช่นเดียวกับใครอีกหลายคน
อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ อุทยานแห่งชาติที่โดดเด่นเรื่องหินมากกว่าสิ่งใด ๆ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่หิน และหินมากมาย แต่เป็นหินที่ผ่านกาลเวลามายาวนานถึง 95-120 ล้านปี มีลม ฝน น้ำ และแสงแดดคอยกัดเซาะ จนเกิดเป็นประติมากรรมหินทรายรูปทรงแปลกตา รายล้อมไปด้วยหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งเรียกกันว่า กลุ่มหินเทิบ แต่ละก้อนจะมีรูปทรงแตกต่างกันออกไปตามแต่จินตนาการ เช่น รูปหัวจระเข้ ไอพ่น จานบิน ดอกเห็ด เก๋งจีน มงกุฎ และหอยสังข์
น้ำตกภูถ้ำพระ น้ำตกที่ต้องออกแรงปีนป่าย ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามเขาเพื่อไปชมน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชัน 20-30 เมตร ท่ามกลางผืนป่าดงดิบแล้ง ละอองน้ำตกซ่านกระเซ็นช่วยดับร้อนได้ชะงัด ด้านบนน้ำตกจะมีเพิงหินขนาดใหญ่อันเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปั้น และพระไม้แกะสลักอายุนับร้อยปี นอกจากนั้นในเส้นทางศึกษาธรรมชาตินี้ยังมีน้ำตกวังเดือนห้า ผางอย ผามะนาว ผาไทร ถ้ำลอด และถ้ำฝ่ามือแดง ให้ออกแรงเดินไปชมความงามของธรรมชาติอีกด้วย
หอแก้วมุกดาหาร หอคอยสูงสำหรับชมวิวแห่งเมืองมุก หนึ่งในสัญลักษณ์ของจังหวัด มีความสูง 65 เมตร เป็นอาคารทรงเก้าเหลี่ยม มีทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นที่ 1-2 จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ประวัติเมืองมุกดาหาร ศิลปวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่าง ๆ และวิถีของคนสองฝั่งโขงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของความเจริญในสมัยก่อน ชั้นที่ 3-5 เป็นแกนกลางหอคอย มีบันได 321 ขั้น ชั้นที่ 6 เป็นหอชมทิวทัศน์ 360 องศา สามารถชมวิวมุมสูงของตัวเมือง แม่น้ำโขง และเมืองสะหวันนะเขต สปป. ลาว ส่วนชั้นที่ 7 เป็นโดมยอดบนสูงสุดที่ตั้งลูกแก้วมุกดาทรงกลมสีขาวหมอกมัวขนาดใหญ่ทำจากประเทศเยอรมนี ภายในเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธนวมิ่งมงคลมุกดาหารเนื้อเงินแท้บริสุทธิ์ปางมารวิชัย
แก่งกะเบา แก่งหินยาวเหยียด ขวางกั้นแม่น้ำโขง เป็นเกาะแก่งกลางน้ำที่ถูกสายน้ำโขงกัดเซาะเกิดรูปร่างสวยงาม ซึ่งจะเห็นชัดในช่วงน้ำลดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป จุดนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้คนนิยมมาเยือน เพราะมีพญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช นาคราชลำตัวสีขาวหมอก ขนาดใหญ่ สูง 11 เมตร ยาวถึง 51 เมตร ตั้งโดดเด่นสง่างาม หันหน้าออกสู่แม่น้ำโขง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพญานาคผู้นำความศิริมงคล ความรุ่งโรจน์มาสู่จังหวัดมุกดาหาร
วัดสองคอนมรณสักขี หรือสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ได้ชื่อว่าสวยและใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากดูจากภายนอกจะเห็นเพียงกำแพงปูนทอดยาวดูเรียบ ๆ แต่ความจริงแล้วด้านในคือโบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่สร้างแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
สุดเขตแดนสยาม
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 สะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 เชื่อมจังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย กับแขวงสะหวันนะเขต สปป. ลาว เปรียบประดุจสัญลักษณ์แห่งสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองแผ่นดินไทย-ลาวที่ผูกพันแนบแน่นนับแต่อดีต ระยะทางยาวกว่า 2,702 เมตร เหมาะมานั่งรับลม เดินเล่นชิลล์ ๆ โดยเฉพาะเย็นยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
ปิดท้ายวันดี ๆ ด้วยการเดินเล่นยัง
ตลาดอินโดจีน ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของงานสถาปัตยกรรมในยุคโคโลเนียล ตลาดความยาวเกือบ 1 กิโลเมตร เป็นแหล่งรวมสินค้านำเข้าจากนานาประเทศ ทั้งรัสเซีย จีน เวียดนาม ลาว และพม่า รวมถึงสินค้าพื้นเมืองของชาวมุกดาหาร ถือเป็นจุดช้อปปิ้งหลักเมืองมุกดาหารเลยก็ว่าได้
ครั้งนี้โชคดีได้พักกับเพื่อนที่มาตั้งรกรากอยู่ที่มุกดาหาร บ้านพักเป็นไม้แบบเรียบง่าย มีลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ให้คลายร้อน ส่วนอาหารการกินนั้นเจ้าบ้านเป็นคนจัดการให้ โดยมีเราเป็นลูกมือ หลังจากเที่ยวเสร็จจึงขอแวะเข้าไปซื้อของกันที่แม็คโคร มุกดาหาร ตั้งอยู่ในตัวเมืองพอดีจึงเดินทางไม่ลำบากนัก ของที่ได้หนีไม่พ้น ปลาทับทิม ซีพี เพราะเป็นอาหารจานหลักของเราไปแล้ว วันนี้เจ้าบ้านเสนอตัวจะทำส้มตำรสแซ่บ ๆ เอาไว้กินแนมกับปลาทับทิมทอด เราเลยแนะว่าเอาโปะลงไปเลยดีกว่า จะได้กลายเป็นเมนู “ส้มตำปลาทับทิม ซีพี” ไปเลย เมื่อได้เมนูตามที่ตั้งใจก็ถึงเวลาลงมือทำ ระหว่างทอดปลาอยู่นั้นเพื่อนก็แอบถามว่าทำไมถึงชอบกิน ปลาทับทิม ซีพี มากนักเราจึงบอกไปว่า ปลาทับทิม ซีพี มีเนื้อแน่น รสชาติอร่อย ไร้กลิ่นโคลน อีกทั้งยังสด สะอาด ปลอดภัย อย่างแน่นอน เพราะผ่านการเลี้ยงจากระบบฟาร์มมาตรฐาน ซีพีเอฟ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายทุกชนิด สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ จับและจัดส่งแบบวันต่อวัน นอกจากจะนำมาทำเมนูส้มตำปลาทับทิมทอดแล้ว ยังสามารถนำปลาทับทิม ซีพี ปรุงเป็นเมนูเด็ดอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย หลังจากได้ทดลองชิม เพื่อนก็ยิ้มรับพร้อมกับบอกว่าคงผันตัวมาเป็นสาวก ปลาทับทิม ซีพี แบบเราอีกคนแล้ว พร้อมทั้งยืนยันเสียงหนักแน่นว่า เลือกใช้ปลาครั้งใด เจาะจงเลือกซื้อแต่ปลาทับทิม ซีพี เท่านั้น!
ส้มตำปลาทับทิม CP
ส่วนผสม
ปลาทับทิม ซีพี แล่กระดูกออก |
1 ตัว |
มะละกอสับ |
100 กรัม |
แคร์รอตขูดเส้น |
1/4 ถ้วยตวง |
ถั่วฝักยาวหั่นท่อน |
1 ฝัก |
มะเขือเทศราชินีหั่นชิ้น |
4 ลูก |
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด |
3 ช้อนโต๊ะ |
มะนาวหั่นชิ้น |
3 ชิ้น |
พริกขี้หนูสีแดง สีเขียว |
10 เม็ด |
กระเทียมไทย |
5 กลีบ |
น้ำปลา |
2 1/2 ช้อนโต๊ะ |
น้ำมะนาว |
3 ช้อนโต๊ะ |
น้ำตาลปี๊บ |
2 ช้อนโต๊ะ |
กุ้งแห้ง |
2 ช้อนโต๊ะ |
ไข่แดงเค็มดิบ |
5 ฟอง |
ข้าวโพดต้มสุกฝานเม็ด |
50 กรัม |
เกลือป่นหยาบ |
|
น้ำมันพืชสำหรับทอด |
|
วิธีทำ
1. โรยเกลือป่นลงบน
ปลาทับทิม ซีพี พอทั่ว เคล้าให้เข้ากัน ล้างให้สะอาดพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่
ปลาทับทิม ซีพื ลงทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
3. โขลกกระเทียม กับพริกขี้หนู พอหยาบ ใส่ถั่วฝักยาว บุบพอแตก
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ ใส่มะนาวหั่นชิ้น ไข่แดงเค็ม กุ้งแห้ง คลุกเคล้าให้เข้ากัน
5. ใส่มะละกอ แคร์รอต มะเขือเทศ ข้าวโพด คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่ลงใน
ปลาทับทิม ซีพี ที่ทอดไว้ โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ จัดเสิร์ฟ