ไอศกรีม หรือไอติม ที่เรารู้จักกันมานี้มีประวัติยาวนาน มีหลายกระแสที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่แบบของการทำไอศกรีม ไม่ว่าจะเป็น โรมัน เปอร์เชีย และจีน จากที่ค้นคว้าหาข้อมูลอยู่นานเราก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แท้จริงว่าชาติใดกันแน่ที่เป็นผู้ริเริ่มคิดค้นขนมหวานเย็นฉ่ำล้ำค่าอย่าง ไอศกรีมมาให้ชนรุ่นหลังได้ลิ้มลองกัน
แต่ถ้าถามถึงความเชื่อส่วนตัว (ของผู้เขียน) ชาติที่ริเริ่มคงเป็นประเทศจีน เนื่องจากมีการเล่าอ้างว่าตนนั้นได้รู้จักกับเจ้าไอศกรีมมาตั้งแต่เมื่อ 4,000 ปี ก่อนหน้านี้ ซึ่งลักษณะของไอศกรีมในประเทศจีนทำมาจากข้าวบดผสมกับนมสดที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง การก่อกำเนิดไอศกรีมตามตำนานประเทศจีนระบุว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญแท้ ๆ เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนในสมัยนั้นเพิ่งจะมีการรู้จักรีดนมจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในฟาร์ม เมื่อรีดออกมาจำนวนมากก็บริโภคไม่หมดประกอบกับน้ำนมเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมาก ๆ คนชั้นสูงเห็นท่าไม่ดีจึงเกิดแนวคิดนำน้ำนมไปหมกซ่อนไว้ในหิมะเพื่อต้องการที่จะถนอมน้ำนมเอาไว้รับประทาน (หรือคิดแอบซ่อนไม่ให้คนอื่นได้ลิ้มรสนมก็มิทราบได้) จนทำให้น้ำนมที่ซุกไว้เกิดการแข็งตัว เป็นลักษณะของไอศกรีมนมที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนหลักฐานที่มีการระบุไว้ชัดเจนเป็นเรื่องของจักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์ชาง ในช่วงค.ศ. 618-697 ท่านทรงมีพ่อครัวถึง 94 คน สำหรับทำหน้าที่ปรุงไอศกรีมโดยใช้นมควาย แป้ง กับการบูร เป็นส่วนผสม และการทำไอศกรีมนี้ก็ถูกถ่ายทอดไปยังคนอินเดีย และชาวเปอร์เชียอีกด้วย
ส่วนอีกตำนานหนึ่งมาจาก นายโทมัส อาร์ควินนี่ ที่เล่าว่า การรับประทานไอศกรีมน่าจะเริ่มต้นกันมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรห์ แห่งอณาจักรโรมัน ที่ได้พระราชทานเลี้ยงไอศกรีมแก่เหล่าทหารหาญที่อยู่ในกองทัพของพระองค์ซึ่งไอศกรีมนั้นเป็นของหวานที่พระองค์ทรงโปรด ไอศกรีมในยุคนั้นทำจากเกล็ดหิมะราดด้วยน้ำผึ้ง โดยได้ทรงมีบัญชาให้ทาสขึ้นไปบนยอดเขาแอพเพนไนน์ (Apennine) เพื่อเก็บเอาหิมะกับนํ้าแข็งลงมา แล้วปรุงรสด้วยนํ้าผึ้งกับไวน์และผลไม้ต่าง ๆ ต่อมาเรียกไอศกรีมประเภทนี้ว่า เชอร์เบท (Sherbet) นั่นเอง
บางตำนานไอศกรีมก็ย้อนยุคไปถึง 400 ปีก่อน ค.ศ. โน่น โดยกล่าวว่าชนชาวเปอร์เชียต่างหากที่เป็นผู้คิดทำไอศกรีมก่อนใครๆ เขานำนํ้าดอกกุหลาบกับเส้นหมี่ฝอย (vermicelli) มาปรุงเป็นของหวานคล้ายพุดดิ้ง (pudding) แล้วโรยด้วยนํ้าแข็งที่เจือหญ้าฝรั่น (saffron) กับสมุนไพรบางชนิด ของหวานนี้เสิร์ฟสำหรับพระราชวงศ์ในวังหลวง ปัจจุบันชาวอิหร่านรู้จักกันดีในชื่อว่า “ฟาลูเดห์” (faloodeh) ซึ่งฟาลูเดห์ในปัจจุบันได้ถูกแต่งเติมและเปลี่ยนหน้าตาไปตามยุคสมัย แต่สิ่งที่ยังอยู่ในนั้นก็คือเกล็ดน้ำแข็ง และเส้นหมี่
จะเห็นได้ว่าการทำไอศกรีมในยุคก่อนมักมาจากหิมะ หรือเกล็ดน้ำแข็ง แต่ทราบกันหรือเปล่าว่าเครื่องทำไอศกรีมนั้นถูกคิดค้นได้ครั้งแรกจาก แม่บ้านชาวนิวเจอร์ซีย์ นามว่าแนนซี จอห์นสัน ในปี ค.ศ. 1846 เธอได้ประดิษฐ์ถังทำไอศกรีมแบบใช้มือหมุน (hand cranked batch freezer) ถังนี้จะแช่อยู่ในนํ้าแข็งที่โรยเกลือ โดยอาศัยหลักการว่า เกลือจะเป็นตัวดึงดูดความร้อนออกจากถัง ทำให้นมและครีมเย็นจัดตํ่ากว่าศูนย์องศาและแข็งตัว สำหรับรสชาติของไอศกรีมก็ได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างยิ่งหลากหลายเช่นกันในช่วง ปลายศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะการเอาครีมหรือช็อกโกแลตมาราดหน้าไอศกรีมดังเช่นที่เรียกกันว่า ฮอตฟัดจ์ (hot fudge) วิปครีม (Whipped cream) หรือว่าซันเด(Sundae) ซึ่งมีตำนานแตกต่างกันไป และอีกตำนานหนึ่งระบุว่าเภสัชกรที่มีสกุลว่าอีแวนสตัน (Evanston) แห่งรัฐอิลลินอยส์ ได้เร่ขายไอศกรีมของเขาซึ่งมีช็อกโกแลตราดหน้า โดยขายเฉพาะในวันอาทิตย์ซึ่งเขาหยุดงานและแปลงชื่อจาก Sunday ซึ่งสะกดด้วย D-A-Y เป็น D-A-E
มาถึงไอศกรีมในบ้านเรากันบ้าง ไอศกรีมเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย ชวาและสิงคโปร์ น้ำแข็งในตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็งชาวบ้านจึงคิดทำไอศกรีมกินเองบ้าง โดยทำไอศกรีมกะทิให้มีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยวหรือกาแฟกันบนเรือ
ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาได้ถูกเพิ่มด้วยเครื่องเคราต่าง ๆ อาทิ ลอดช่อง เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป อีกทั้งยังดัดแปลงเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นให้เหมือนกับไอศกรีมของต่างชาติ ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสี จากนั้นเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้ จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ ๆ จนถึงปัจจุบัน
บริษัทที่ผลิตไอศกรีมแห่งแรกในประเทศไทยได้แก่ บริษัทป๊อบผู้ผลิตไอศกรีมตราเป็ด ซึ่งได้สั่งซื้อเครื่องทำไอศกรีมจากต่างประเทศ เพื่อให้ผลิตไอศกรีมได้ครั้งละมาก ๆ เน้นความสะอาดและคุณภาพ ทำให้ไอศกรีมเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ไอศกรีมตราเป็ดยุคแรกยังเป็นไอติมหวานเย็น ต่อมาจึงมีการดัดแปลงรสชาติใหม่ ๆ เป็นรสระกำ เฉาก๊วย ลอดช่อง โอเลี้ยง ข้าวเหนียวแดง ถั่วดำ ฯลฯ พร้อมกับนำสูตรใส่นมจากต่างประเทศใส่ถ้วย ทำให้เนื้อไอศกรีมละเอียดและเนียน คนจึงนิยมกินกันมาก จนกระทั่งปี 2520 “ศาลาโฟร์โมสต์” จึงเกิดขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้นั่งกินไอศกรีมกันที่ร้าน ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น เด็กมัธยมสมัยนั้นเลิกเรียนหรือดูหนังเสร็จต้องนัดกันไป ที่ศาลาโฟร์โมสต์
เชื่อว่าหลังจากที่ได้อ่านจนจบคุณต้องกำลังอยากไอศกรีมอย่างแรง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าต้องการกินไอศกรีมแบบแท่ง หรือแบบถ้วย ไอศกรีมโบราณหรือร่วมสมัย ไอศกรีมราคาถูกหรือราคาแพง แต่อย่าลืมล่ะว่าถ้ากินเยอะไปมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกันนะจ๊ะ
ไอศกรีมกะทิ
ส่วนผสม
หัวกะทิ |
750 กรัม |
น้ำตาลทราย |
200 กรัม |
วิปครีม |
150 กรัม |
นมสด |
300 กรัม |
กลูโคส (แบะแซ) |
50 กรัม |
เกลือป่นหยาบ |
1/4 ช้อนชา |
ผงเจลาติน |
1 ช้อนโต๊ะ |
น้ำร้อน |
2 ช้อนโต๊ะ |
ผงไอศกรีม |
2 ช้อนโต๊ะ |
ข้าวโพดต้มสุกแกะเมล็ด |
1 ถ้วยตวง |
ลูกชิด |
1 ถ้วยตวง |
มะพร้าวทึนทึกฝานเป็นแผ่นอบสุกสำหรับตกแต่ง |
|
ใบสะระแหน่สำหรับตกแต่ง |
|
วิธีทำ
1. ผสมผงเจลาตินกับน้ำร้อนคนให้เข้ากันเตรียมไว้
2. ผสมน้ำตาลทราย นมสด กลูโคส เกลือป่น ยกขึ้นตั้งไฟ พอส่วนผสมละลายเข้ากัน ยกลงใส่เจลาตินและผงไอศกรีม คนให้เข้ากัน
3. ตุ๋นหัวกะทิพอร้อน ยกลงใส่ส่วนผสมในข้อที่ 2 คนให้ เข้ากันพักไว้ให้เย็น
4. ตีวิปครีมพอขึ้น ใส่ส่วนผสมในข้อที่ 3 คนให้เข้ากัน เทใส่กล่องปิดฝา
5. นำเข้าแช่เย็นช่องธรรมดา ประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือให้ส่วนผสมเย็นจัด
6. นำส่วนผสมไอศกรีมออกจากตู้เย็นเทใส่ถังไอศกรีมปั่นจนไอศกรีมแข็งตัว ตักใส่ภาชนะ นำเข้าแช่เย็นช่องแช่แข็ง ให้ ส่วนผสมแข็งตัวยิ่งขึ้น
7. ตักไอศกรีมกะทิใส่ถ้วย ใส่ข้าวโพด ลูกชิด ตกแต่งด้วย มะพร้าวทึนทึก และใบสะระแหน่ จัดเสิร์ฟ
ไอศกรีมมะนาวทับทิม
ส่วนผสม
น้ำทับทิม |
2 1/2 ถ้วยตวง |
น้ำมะนาว |
2 ช้อนโต๊ะ |
เมล็ดทับทิม |
1/2 ถ้วยตวง |
พิมพ์ทำไอศกรีม |
|
ไม้ไอศกรีม |
|
วิธีทำ
1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ทำไอศกรีม นำเข้าช่องแช่แข็งจนกระทั่งเซ็ตตัว
2. นำไม้ไอศกรีมเสียบลงตรงกลาง และนำเข้าแช่เย็นอีกครั้งประมาณ 6 ชั่วโมง จัดเสิร์ฟ
หมายเหตุ
ถ้าต้องการให้มีรสหวาน สามารถใส่น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้งเพิ่มได้
ไอศกรีมโยเกิร์ตผลไม้
ส่วนผสม (สำหรับ 3 ที่)
สตรอว์เบอร์รีสดหั่นชิ้น |
50 กรัม |
กีวีหั่นชิ้น |
50 กรัม |
เนื้อส้มซันคิสหั่นชิ้น |
50 กรัม |
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ |
300 กรัม |
ผิวส้มซันคิสซอย |
2 ช้อนชา |
น้ำผึ้ง |
1 ช้อนโต๊ะ |
พิมพ์ถ้วยสำหรับใส่ไอศกรีม ,ไม้ไอศกรีม |
|
วิธีทำ
1.ใส่สตรอว์เบอร์รีสด กีวี และเนื้อส้มซันคิส ลงในพิมพ์ถ้วย
2.ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ผิวส้มซันคิส และน้ำผึ้ง คนพอเข้ากัน ตักใส่พิมพ์ถ้วยที่ใส่ผลไม้เตรียมไว้จนเต็ม
3.เสียบไม้ไอศกรีม นำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง จนแข็งตัวประมาณ 1 คืน แกะออกจากพิมพ์ จัดเสิร์ฟ
ไอศกรีมกล้วยบวชชี
ส่วนผสม
กล้วยน้ำว้า (สุกห่ามต้มสุกหั่นชิ้น) |
100 กรัม |
กะทิเข้มข้นปานกลาง |
1 ถ้วยตวง |
เนื้อมะพร้าวเผาหั่นชิ้น |
50 กรัม |
น้ำตาลปี๊บ |
3 ช้อนโต๊ะ |
เกลือป่นหยาบ |
1/2 ช้อนชา |
กล้วยน้ำว้าสุกห่ามต้มสุกหั่นแว่น (สำหรับใส่ในพิมพ์) |
|
พิมพ์ตามชอบ |
|
ไม้เสียบไอศกรีม |
|
วิธีทำ
1. ใส่กะทิลงในหม้อยกขึ้นตั้งไฟ พอร้อน
2. ใส่กล้วยน้ำว้า พอเดือด ใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น ต้มต่อจนกล้วยนิ่ม
3. ใส่เนื้อมะพร้าวเผา คนพอเข้ากันดี ยกลง
4. ใส่กล้วยน้ำว้าหั่นแว่น ลงในพิมพ์
4. ตักส่วนผสมในข้อที่ 3 ลงในพิมพ์จนเต็ม จากนั้นเสียบไม้ไอศกรีมลงตรงกลาง นำเข้าแช่ในตู้เย็น ช่องแช่แข็งประมาณ 1 คืน หรือจนแข็งตัว จัดเสิร์ฟ
ไอศกรีมเชอร์เบทมะม่วง
ส่วนผสม
เนื้อมะม่วงสุก |
500 กรัม |
น้ำมะนาว |
3 ช้อนโต๊ะ |
น้ำต้มสุกพักไว้ให้เย็น |
160 กรัม |
น้ำเชื่อมเชอร์เบท |
135 กรัม |
ข้าวเหนียวมะม่วง |
|
วิธีทำ
1. หั่นมะม่วงสุกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เตรียมไว้
2. ผสมน้ำต้มสุกกับน้ำเชื่อมเชอร์เบท คนให้เข้ากัน เตรียมไว้
3. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกัน
4. เทใส่กล่องพลาสติกหรือภาชนะสเตนเลส นำเข้าช่องแช่แข็งจนแข็งตัว
5. นำออกจากช่องแช่แข็ง ขูดให้ละเอียดแล้วอัดใส่กล่อง นำเข้าช่องแช่แข็ง ทำเช่นนี้ 2-3 ครั้ง จนเนื้อเนียน ตักใส่ถ้วยจัดเสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวมะม่วง
ส่วนผสมน้ำเชื่อมเชอร์เบท
น้ำตาลทราย |
465 กรัม |
น้ำเปล่า |
70 กรัม |
กลูโคสไซรัป (แบะแซ) |
70 กรัม |
น้ำมะนาว |
1 ช้อนชา |
วิธีทำ
1. นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในหม้อ คนเล็กน้อยให้เข้ากัน
2. ยกขึ้นตั้งไฟ คนบ้างเล็กน้อยกันไหม้ แต่ห้ามคนบ่อยเพราะจะทำให้น้ำเชื่อมตกทราย พอเดือดเคี่ยวต่อสักครู่ พักไว้ให้เย็นสนิท
ไอศกรีมโยเกิร์ตมะยงชิด
ส่วนผสม
นมสด |
2 ถ้วยตวง |
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ |
540 กรัม |
นมข้นหวาน |
3 ช้อนโต๊ะ |
น้ำตาลทราย |
50 กรัม |
เจลาตินชนิดแผ่น (แช่น้ำเย็นจัดจนนุ่ม) |
4 แผ่น |
มะยงชิด (ปอกเปลือกคว้านเมล็ดออกหั่นชิ้น) |
15 ลูก |
วิธีทำ
1. ผสมนมสด นมข้นหวาน และน้ำตาลทราย ยกขึ้นตั้งไฟคนให้ละลาย พอเดือดใส่เจลาตินคนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
2. ยกลงใส่โยเกิร์ตคนให้เข้ากัน พักไว้พออุ่นนำเข้าตู้เย็นจนเย็นจัด
3. ใส่มะยงชิดลงในบล็อกทำไอศกรีม ใส่ส่วนผสมในข้อที่ 2 จนเต็มนำเข้าตู้เย็นช่องแช่แข็ง พอเซ็ตตัวเสียบด้วยไม้ไอศกรีม แช่ต่อจนแข็งตัว จัดเสิร์ฟ
เชอร์เบทฟรุตสลัด
ส่วนผสม
เนื้อสตรอว์เบอร์รีสด |
500 กรัม |
น้ำต้มสุกพักไว้ให้เย็น |
150 กรัม |
น้ำเชื่อมเชอร์เบท |
200 กรัม |
น้ำมะนาวคั้นสด |
3 ช้อนโต๊ะ |
ผลไม้สด เช่น กีวี สตรอว์เบอรี อะโวคาโด
ส้มซันคิส แอปเปิลสีแดง |
|
วิธีทำ
1. ตัดขั้วสตรอว์เบอร์รีออกแล้วล้างให้สะอาดพักให้สะเด็ดน้ำหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมน้ำต้มสุกกับน้ำเชื่อมเชอร์เบท คนให้เข้ากัน
2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่นน้ำผลไม้ปั่นจนส่วนผสมละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
3. เทใส่กล่องพลาสติกหรือภาชนะสเตนเลสนำเข้าแช่ช่องแช่แข็งจนแข็งตัว
4. นำออกจากช่องแช่แข็งขูดให้ละเอียดแล้วอัดใส่กล่องนำเข้าช่องแช่เข็ง ทำเช่นนี้ 2-3 ครั้ง จนเนื้อเนียนตักใส่ถ้วยเสิร์ฟ พร้อมผลไม้สด
ไอศกรีมเผือกเคลือบช็อกโกแลต
ส่วนผสม
เผือกหั่นชิ้น |
250 กรัม |
น้ำตาลทราย |
200 กรัม |
เกลือป่นหยาบ |
1/2 ช้อนชา |
วิปครีมชนิดจืด |
1/2 ถ้วยตวง |
หัวกะทิ |
1 ถ้วยตวง |
น้ำเปล่า |
1 ถ้วยตวง |
แบะแซ |
2 ช้อนโต๊ะ |
เจลาตินชนิดผง |
1 1/2 ช้อนชา |
น้ำอุ่น |
2 ช้อนโต๊ะ |
ดาร์กช็อกโกแลตหั่นชิ้นเล็กๆ |
500 กรัม |
สีผสมอาหารสีม่วงเล็กน้อย |
|
น้ำเปล่าสำหรับต้มเผือก และตุ๋นช็อกโกแลต |
|
แก้วกระดาษขนาด 500 ออนซ์ |
|
วิธีทำ
1. ต้มน้ำเปล่าพอเดือด ใส่เผือกลงต้มจนสุกตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ใส่น้ำอุ่นลงในเจลาตินคนให้เข้ากัน พักไว้ให้เจลาตินอิ่มตัว
3. ใส่น้ำตาลทราย เกลือป่น วิปครีม หัวกะทิ น้ำเปล่า และแบะแซ ลงในหม้อคนจนละลายและร้อน ใส่เจลาตินคนให้เข้ากัน ยกลงพักไว้ให้คลายความร้อน
4. ใส่เผือกต้มและส่วนผสมในข้อที่ 3 ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด เติมสีผสมอาหารคนให้เข้ากัน เทใส่ลงในแก้วกระดาษ นำเข้าช่องแช่แข็งจนเซ็ตตัว ประมาณ 5 ชั่วโมง จากนั้นนำแครกเกอร์ลงกรุทับนำเข้าแช่ต่อจนไอศกรีมแข็งตัว แกะออกจากถ้วยกระดาษ
5. ใส่ดาร์กช็อกโกแลตลงในอ่างผสม นำขึ้นตุ๋นบนน้ำร้อนจนละลาย ยกลงพักไว้ให้ช็อกโกแลตคลายความร้อน นำมาราดลงบนไอศกรีมเผือก เสิร์ฟทันที
ส่วนผสมแคร็กเกอร์
แคร็กเกอร์บดละเอียด |
160 กรัม |
น้ำตาลไอซิ่ง |
2 ช้อนโต๊ะ |
เนยสดชนิดเค็มละลาย |
100 กรัม |
วิธีทำ
ผสมแครกเกอร์บด น้ำตาลไอซิ่ง และเนยสด คลุกเคล้าให้เข้ากัน จึงนำไปใช้
ไอศกรีมเมลอน
ส่วนผสม
น้ำเปล่า |
1/2 ถ้วยตวง |
น้ำตาลทราย |
1/4 ถ้วยตวง |
เมลอนหั่นชิ้น |
250 กรัม |
นมสด |
1/4 ถ้วยตวง |
วิธีทำ
1. ผสมน้ำเปล่ากับน้ำตาลทรายคนให้ละลาย
2. นำเมลอน นมสด และส่วนผสมน้ำตาลทรายใส่ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ปั่นจนละเอียด เทส่วนผสมใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ นำเข้าแช่ช่องแช่แข็ง พอเซตตัวเอาออกมาเสียบด้วยไม้ไอศกรีม แล้วนำเข้าแช่แข็งต่อจนแข็งตัว จัดเสิร์ฟ