ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ของวัน ฉันแอบนั่งพักหลบฝนอยู่ภายในร้านเบอร์เกอร์ตัวตลก... บรรยากาศในร้านค่อนข้างคึกคักไปด้วยผู้คน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นวัยรุ่นและคนทำงาน มีบางกลุ่มเท่านั้นที่จะมาพร้อมครอบครัวใหญ่ สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นขนมปังก้อนที่สอดไส้ด้วยเนื้อบด และมันฝรั่งทอดสีเหลืองอร่าม ตามด้วยน้ำอัดลมรสซ่าเต็มไปหมด สิ่งเหล่านี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าคนไทย โดยเฉพาะวัยรุ่นลุ่มหลงอาหารประเภทนี้กันมาก “แฮมเบอร์เกอร์”
หลายคนพูดว่า
“แฮมเบอร์เกอร์” เป็น Junk Food หรืออาหารขยะ... แล้วอาหารขยะนี้คืออะไรล่ะ Junk Food ก็คือ อาหารที่มีคุณค่าน้อย แต่มีแคลอรีสูง เป็นอาหารที่มีเกลือผสมอยู่เป็นจำนวนมาก และมีคาร์โบไฮเดรตเพียบ ดังนั้นแฮมเบอร์เกอร์ (สำหรับบางร้าน) จึงจัดว่าเข้าข่าย Junk Food เต็มๆ แต่ถ้ามองถึงความเป็นจริงแล้วการเลือกรับประทานของเราเองก็มีผลเช่นกัน เพราะแต่ละครั้งที่เลือกสั่งเรามักมีของแถมมาด้วยเสมอ อาทิ มันฝรั่งทอด น้ำอัดลม หอมทอด และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งของแถมเหล่านี้ล่ะที่มาเสริมสร้างพลังงานส่วนเกิน และทำให้ Junk Food ทวีค่าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่านัก
เอ้า!!! แล้วแฮมเบอร์เกอร์ชั้นดีมีด้วยเหรอ... มีค่ะมี เพราะจริงๆ แล้วแฮมเบอร์เกอร์ก็เปรียบเหมือนสเต๊กดีๆ จานหนึ่งนั่นล่ะ ซึ่งเป็นอาหารที่โด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่าที่มาที่ไปของแฮมเบอร์เกอร์นั้นเป็นเรื่องราวเร้นลับที่สุดเรื่องหนึ่งในบรรดาประวัติอาหารเลยทีเดียว เพราะไม่มีผู้ใดทราบหลักฐานชัดเจนใครเป็นผู้ค้นคิดอาหารนี้ขึ้นเป็นเจ้าแรก
สำหรับชื่อของแฮมเบอร์เกอร์นั้นน่าจะมาจากชื่อของเมืองฮัมบูร์ก Hamburg (เมืองทางตอนเหนือของเยอรมนี) ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในสหรัฐฯ อันที่จริงแล้วเนื้อสับทอดสูตรดั้งเดิมก่อนแฮมเบอร์เกอร์ มีหลักฐานจากปี ค.ศ. 1834 ว่ารายการอาหารในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่นครนิวยอร์กชื่อ “เดลโมนิโคส์” มีอาหารจานน่ารับประทานเรียก แฮมเบอร์เกอร์สเต๊ก แต่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ที่แน่นอนคือนับแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา แฮมเบอร์เกอร์ก็กลายเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวอเมริกัน หนังสือตำราอาหารหลายเล่มมักบอกถึงวิธีทำ เช่น
“ผ่าเนื้อเป็นสองชิ้นโรยเกลือเล็กน้อย เอาแฮมรมควันสอดเข้าไปด้วยเพื่อให้รสชาติดีขึ้น แฮมเบอร์เกอร์ดีที่สุดต้องทำจากเนื้อสะโพกไม่ติดมัน”
บางแหล่งบอกว่าแฮมเบอร์เกอร์คืออาหารสำหรับคนจน... ใน Oxford English Dictionary ปี 1802 ให้คำจำกัดความแฮมเบอร์เกอร์สเต๊กไว้ว่า ทำจากเนื้อวัวหมักเกลือ ซึ่งพอจะสืบสานความได้ไปถึงการอพยพของชาวเยอรมันที่เดินทางผ่านเมืองฮัมบูร์กทางเรือเพื่อไปสร้างชีวิตใหม่ยังสหรัฐอเมริกา อาหารที่พกติดตัวไปเป็นเนื้อหมักเกลือซึ่งสามารถเก็บได้นาน ส่วนอีกทฤษฎีนั้นกล่าวไว้ว่า
ในช่วงที่กองทัพมองโกลของเจงกีสข่านยกทัพบุกรัสเซียนั้น เหล่าทหารจะกินเนื้อลูกแกะดิบที่ปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งเหล่าทหารมีวิธีการทำให้เนื้อนิ่มด้วยการวางไว้ใต้อานม้า และในช่วงศตวรรษที่ 17 รัสเซียเริ่มที่จะค้าขายติดต่อกับเมืองฮัมบูร์ก และก็ได้นำอาหารชนิดนี้ไปเผยแพร่ด้วย โดยชาวเยอรมันได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อวัวไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศในท้องถิ่นจนกลายเป็น ฮัมบูร์กสเต๊ก และอาจจะนำไปรมควันหรือว่าหมักเกลือ เพื่อที่จะสามารถเก็บได้นานระหว่างที่กำลังเดินทาง จากนั้นทหารเรือชาวเยอรมัน และผู้อพยพก็ได้นำเมนูนี้ติดตัวไปยังสหรัฐฯ ด้วยในช่วง 1800s และในช่วงทศวรรษที่ 1820 หรือ 1830 นี่เองที่มีการนำชื่อ “แฮมเบอร์เกอร์สเต๊ก” ไปปรากฏอยู่บนรายการอาหารของร้านอาหารที่ชื่อเดลโมนิโก ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงแรกของการรับประทานแฮมเบอร์เกอร์...
มักใช้ขนมปังในส่วนที่เป็นหัวกะโหลก เนื่องจากนำมารับประทานกับเนื้อบดทอดกลมๆ กำลังเหมาะ และต่อมาก็มีผู้คิดค้นขนมปังก้อนสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาโดยเฉพาะ นั่นคือพ่อครัวที่ชื่อ เจ วอลเตอร์ แอนเดอร์สัน ในปี 1916 ก่อนที่เขาจะไปเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ไวท์คาสเซิลในปี 1921 ส่วนชีสที่นำมาใส่ในแฮมเบอร์เกอร์นั้น (ชีสเบอร์เกอร์) เริ่มมาจาก เชฟไลโอเนล สไตน์เบอร์เกอร์ จากร้านอาหารที่ชื่อ ไรท์สปอต ในเมืองพาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของแฮมเบอร์เกอร์แบบฟาสต์ฟู้ดได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เรย์ ครอก ผู้ริเริ่มเปิดตัวร้านแมคโดนัลด์ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950
อย่างที่บอกไปแล้วว่าแฮมเบอร์เกอร์เป็นที่นิยมกันมากในสหรัฐอเมริกา... ดังนั้นจึงมีร้านอาหารต่างๆ ผลิตแฮมเบอร์เกอร์ชั้นดีออกมา โดยแต่ละร้านจะเลือกวัตถุดิบชั้นดีทุกอย่างในการปรุง จึงทำให้อาหารจานนี้ครบถ้วนไปด้วยคุณค่า และปราศจากคำว่า Junk Food ไปอย่างสิ้นเชิง และเว็บไซต์ที่ชื่อว่า
www.epicurious.com ก็ได้จัดอันดับ 10 สุดยอดแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกา (The Best Burgers in America) ไว้ตามนี้ค่ะ
New York : DuMont Burger… ขายในเมือง Brooklyn นิวยอร์ก มีจุดเด่นอยู่ที่ขั้นตอนการทำอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่กระบวนการทำขนมปัง เพื่อให้ขนมปังออกมานุ่มพอดี สัดส่วนพอเหมาะให้น้ำซอส และน้ำหวานจากเนื้อวัว อีกทั้งยังใช้เนื้อวัวบดชั้นเลิศทำเป็นใส้ เพิ่มผักสดหรือผักดอง ตบท้ายด้วยการให้ลูกค้าเลือกเพิ่มชีสตามชอบ
Miami : Kingdom Burger… ขายในเมือง miami ฟอริดา แฮมเบอร์เกอร์ชนิดนี้เป็นขนมปังแบบโฮมเมดเช่นเดียวกัน ที่นี่ใช้เนื้อวัวบดทำเป็นใส้ ใส่ผักกาดหอม หัวหอมแดง มะเขือเทศ และใส่ชีส
Washington, DC : Palena Café... ขายในเมือง วอชิงตันดีซี ว่ากันว่าเจ้าของร้านเคยเป็นเชฟให้กับประธานาธิบดีของทำเนียบขาว ก่อนจะออกมาเปิดร้านอาหารเอง
Seattle : Lunchbox Laboratory… ใครที่ชื่นชอบรสหวานของหัวหอมไม่ควรพลาด เพราะที่นี่เขาจะนำหัวหอมมาอบจนเหลืองสวย สร้างรสหวานฉ่ำได้ดีเมื่อรับประทานพร้อมกับเนื้อสันนอกบด ที่สำคัญคือเนื้อที่ทางร้านเลือกใช้เป็นเนื้อที่เลี้ยงโดยหญ้าเท่านั้นค่ะ
San Francisco : Zuni Café… ร้านนี้เขาจะหมักเนื้อก้อนขนาดใหญ่กับเกลือทิ้งไว้ 1 คืน พอรุ่งเช้าจึงนำมาบด พร้อมด้วยปรุงรสชาติจนได้ที่ ก่อนนำมาย่างจนสุก แล้วจัดเสิร์ฟแบบเต็มยศในช่วงกลางวันและหลังสี่ทุ่มเท่านั้น
Los Angeles : Pie ‘n Burger… ขนมปังที่อบโดยการผ่านตะแกรง ด้านในสอดไส้ด้วยผักสดหลายชนิด เนื้อบดชั้นดี และเดรสซิ่งรสหวานอมเปรี้ยว Thousand Island ก็ช่วยทำให้อาหารจานนี้ไม่มีที่ติ
Philadelphia : Rouge… เนื้อวัวชั้นอย่างดีวางพร้อมกับชีส Gruyère ที่ละลายกำลังดี พร้อมหัวหอมที่อบจนเป็นสีน้ำตาล ส่งรสหวาน และกลิ่นหอมจนเกิยห้ามใจ และแน่นอนค่ำว่ามาพร้อมกับมันฝรั่งทอดร้อนๆ กรอบๆ
Atlanta : Holeman & Finch… เมนูแฮมเบอร์เกอร์ของร้านนี้จะเสิร์ฟตอนสี่ทุ่มเท่านั้น อีกทั้งยังมีจำนวนและเวลาที่จำกัด จุดเด่นอยู่ที่ส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง เนื้อวัว ผักสดต่างๆ อร่อยลืมตายกันเลยล่ะ
Boston : Radius… เป็นร้านที่ได้รับรางวัลเบอร์เกอร์ยอดเยี่ยมในเทศกาลอาหาร จุดเด่นอยู่ที่จำนวนของเนื้อบดที่ใช้ถึงครึ่งปอนด์ จากนั้นก็บรรจงวางชีสละลายด้านบน ตบด้วยการราดซอส Horseradish แล้วก็โปะด้วยหอมทอดกรอบๆ
Chicago : Rosebud Steakhouse… เริ่มจากการนำเนื้อชั้นเยี่ยมมาปรุงให้เหมือนกับสเต๊ก และวางลงบนขนมปังแบบ Pretzel เนื้อรสชาติหวานกำลังเหมาะ เข้ากับชีสที่ละลายมากำลังดี
ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะว่าจะเลือกรับประทานแฮมเบอร์เกอร์แบบไหน... เพราะถึงแม้ว่าบางท่านอาจจะเรียกว่าเป็น Junk Food แต่บางท่านก็อาจเรียกต่างออกไป อย่างร้านเบอร์เกอร์ตัวตลกเขาก็บอกเลยว่าเขาไม่ใช่ Junk Food แต่เป็น Comfort Food หรืออาหารครอบครัวที่เข้าไปรับประทานแล้วจะรู้สึกอบอุ่นค่ะ...