Korean Street Food

แเสดงความคิดเห็น
ถูกใจ
แเสดงความคิดเห็น
ถูกใจ
3,662    5    -4    16 พ.ย. 2562 15:00 น.
แบ่งปัน
       เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 สำนักข่าว CNN ได้เผยอันดับเมืองที่ได้ชื่อว่า เป็นเมืองแห่งร้านอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลก และปรากฏว่ากรุงเทพฯ เมืองหลวงประเทศไทย ก็ถูกเลือกให้นั่งแท่นสุดยอดเมืองแห่งอาหารสตรีทฟู้ดอันดับ 1 เลยทีเดียว ส่วนแหล่งของกินที่ไม่ไปไม่ได้เลยก็คือเยาวราชนั่นเอง เพราะมีอาหารให้เลือกรับประทานหลายชนิด ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เครื่องดื่ม ของว่าง ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่ามีมากมายจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญของเมืองไทย

ส่วน 10 อันดับสุดยอดเมืองแห่งอาหารสตรีทฟู้ดที่ดีที่สุดในโลก ได้แก่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น, นครโฮโนลูลู รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา, เมืองเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้, เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา, เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี, เกาะฮ่องกง, กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส, กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และเมืองมาราเกช ประเทศโมร็อกโก ซึ่งทุกแห่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มากไปด้วยวัฒนธรรมด้านอาหารแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประวัติความเป็นมา รวมถึงรสชาติอาหารที่สามารถเข้าถึงคนได้ทั่วทั้งโลก นอกจากเมืองหรือประเทศที่ได้รับรางวัลนั้น เราเชื่อว่าอีกหลาย ๆ แห่งในโลกนี้ก็มีอาหารสตรีทฟู้ดอยู่เช่นกัน และที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคงหนีไม่พ้น ประเทศเกาหลี ซึ่งนับเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีประวัติของอาหารเก่าแก่ไม่แพ้ชาติอื่น ๆ มีรสชาติที่หลากหลาย อีกทั้งยังมีสไตล์เป็นของตัวเองจนทำให้หลาย ๆ คนอยากไปลิ้มลองรสชาติของจริงถึงถิ่นกันเลยทีเดียว
 

กล่าวถึงอาหารเกาหลีแบบโบราณที่เราเคยเห็นในสารคดีหรือตามซีรีส์ยอดฮิตต่าง ๆ มักจะมาในรูปแบบจัดเต็มที่เรียกว่า "ฮันจองชิก" (한정식) โดยในหนึ่งสำรับประกอบด้วย ข้าว ซุป และกิมจิเป็นหลัก นอกจากนั้นมีกับข้าวที่ทุกคนรับประทานร่วมกัน และบันซัน ซึ่งเป็นเครื่องเคียงจานเล็ก ๆ จำนวนบันซันจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฐานะทางสังคม ส่วนใหญ่สามัญชนมี 3 อย่าง ถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์อาจมีถึง 12 อย่าง เครื่องเคียงเหล่านี้ได้แก่ ผักลวก ผักนึ่ง และอาหารทะเลแห้ง ซึ่งอาหารทุกอย่างจะถูกจัดวางไว้พร้อมกันบนโต๊ะ โดยใช้อุปกรณ์การรับประทานเป็น ชามหินใบใหญ่ ที่เก็บความร้อนได้ดีใช้ใส่อาหารร้อน ชามโลหะ สำหรับอาหารเย็น ช้อนด้ามยาว และตะเกียบโลหะ คนโบราณของเกาหลีเชื่อว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้วยังมีผลด้านการบำรุง ดังนั้นพืชผักทุกชนิดที่นำมาประกอบอาหารหรือรับประทานสด ๆ มักมีสรรพคุณทางยา ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย ซึ่งมีมาช้านานตั้งแต่ราชวงศ์โชซอน ซึ่งพบว่าการเสวยของพระราชาเกาหลีมักจะมีข้าวสองชาม ชามหนึ่งเป็นข้าวธรรมดา ส่วนอีกชามเป็นข้าวผสมข้าวหนียว หุงด้วยน้ำถั่วแดง เพราะเชื่อว่าการรับประทานข้าวแดงจะช่วยสะเดาะเคราะห์ให้พ้นภัย โดยในสมัยก่อนพระราชาเกาหลีจะเสวยวันละ 5 มื้อ มื้อเช้าที่สุดก็ประมาณ ตี 5 ตี 6 เรียกว่า “มื้อรุ่งอรุณ” ส่วนมื้อเช้าประมาณสิบโมงเช้า ต่อด้วยมื้อเที่ยง มื้อเย็น และสุดท้ายคือคือมื้อดึก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้ ขนมหวานหรือเกี๊ยว

อาหารเกาหลีมีลักษณะเป็น หยิน-หยาง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญเพื่อช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกาย เช่น ชาวเกาหลีนิยมรับประทาน ซัมกเยทัง หรือซุปไก่โสม เพื่อเรียกกำลังในช่วงฤดูร้อน หรือหากอากาศหนาวเย็น ร่างกายต้องการอาหารเพื่อทำให้อบอุ่น ต้องรับประทาน “ชินซอลโล” หรือหม้อร้อนที่ประกอบด้วยเนื้อปลา ผัก หรือเต้าหู้ ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะพัฒนาอาหารเพื่อให้ตอบรับกับภูมิอากาศในภูมิภาคนั้น ๆ เพื่อให้เข้ากับลิ้นหรือรสชาติที่คุ้นเคย ในปัจจุบันอาหารเกาหลีส่วนใหญ่มีรสชาติจัดจ้านและเค็ม โดยเฉพาะอาหารทางภูมิภาคตอนใต้ แต่ถ้าเป็นอาหารทางภูมิภาคตอนเหนือรสชาติจะนุ่มนวลกว่า นอกจากนั้นยังแทรกคุณค่าทางอาหารเข้าไปอย่างครบถ้วน เราจะเห็นได้ว่าอาหารเกาหลีส่วนใหญ่มักมีสีสันที่สวยงาม ประกอบไปด้วยอาหาร 5 หมู่ และ 5 สี ทั้งสีแดง เขียว ดำ ขาว และเหลือง ตามหลักธรรมชาติแห่งเต๋าและขงจื้อ รวมถึงทุกมื้ออาหารต้องมีผักดอง “กิมจิ” รับประทานร่วมด้วย นอกจากนั้นยังมีอาหารหมักดองอีกหลายชนิดซึ่งเป็นที่นิยม อาทิ ช็อดกัล (젓갈 - อาหารทะเลหมักเกลือ) และท็อนจัง (된장 - ถั่วเหลืองหมักเหลว) ขึ้นชื่อในรสชาติโดยเฉพาะและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
 

ทำความรู้จักอาหารเกาหลีกันก่อน... อาหารเกาหลีมีหลายชนิดให้เลือกรับประทาน ทั้งอาหารจานเดียว กับข้าว ของว่าง ของหวาน รวมถึงเครื่องดื่ม ซึ่งที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่นั้นเป็นมักมี “ข้าว” เป็นส่วนประกอบหลัก เริ่มจาก บับ (Bap) ข้าวนึ่ง และจุค (Juk) ข้าวต้ม นับเป็นอาหารจานหลักของคนเกาหลี ส่วนใหญ่ใช้ข้าวเหนียว หรืออาจใช้ถั่ว เกาลัด ข้าวฟ่าง ถั่วแดง ข้าวบาร์เลย์ หรือธัญพืชชนิดต่าง ๆ ประกอบเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ นับเป็นอาหารบำรุงร่างกาย

กุก (Guk) ซุป เป็นอาหารจานสำคัญมักเสิร์ฟพร้อมข้าว สามารถปรุงได้หลายรสชาติแล้วแต่ท้องถิ่น รวมถึงวัตถุดิบที่ใส่ลงไปด้วย อาทิ ผัก เนื้อสัตว์ ปลา หอยเชลล์ สาหร่ายทะเล หรือกระดูกวัว
จิเก (Jjigae) สตู คล้ายกับซุปแต่มีความข้นมากกว่า ส่วนใหญ่ทำมาจากเต้าเจี้ยว มีรสชาติเผ็ดร้อน และมักเสิร์ฟในชามหินร้อน
จิม และ ชอริม (Jjim and Jorim) คือเนื้อหรือปลาตุ๋น ทำด้วยผัก ชุป ซอสถั่วเหลือง นำมาต้มในไฟอ่อน
นามุล (Namul) เป็นการนำพืชและผักใบเขียวมาต้มเพียงเล็กน้อย หรือทอดผสมกับเกลือ ซอสถั่วเหลือง งาเค็ม น้ำมันงา กระเทียม หอมหัวใหญ่ และเครื่องเทศ มักใช้รับประทานร่วมกับมื้ออาหาร ใช้เป็นผักแกล้ม
จอทกอล (Jeotgal) เป็นอาหารทะเลหมักเกลือที่มีรสชาติเค็มจัด ทำจากปลาหมักโดยวิธีธรรมชาติ หอยเชลล์ กุ้ง หอยนางรม ไข่ปลา พุงปลา และเครื่องปรุงอื่น ๆ
กุย (Gui) ประเภทปิ้งย่าง การทำกุยคือการนำเนื้อหมักย่างบนเตาถ่าน อาหารเนื้อชนิดนี้ที่เป็นที่นิยมคือ พุลโกกิ (Bulgogi) และ คาลบิ (Galbi) ยังมีอาหารจานปลาอีกหลายอย่างที่ปรุงด้วยวิธีนี้
เชิน (Jeon) จานกระทะร้อน คือแพนเค้กชนิดหนึ่งที่ทำจากเห็ด ฟักทอง ปลาแห้งแผ่น หอยนางรม พริกเขียว เนื้อสัตว์ หรือเครื่องปรุงอื่น ๆ ผสมกับเกลือและพริกไทยดำก่อนนำไปชุบแป้งและไข่แล้วทอด
มันดู (Mandu) เป็นอาหารประเภทยัดไส้ต่าง ๆ ทำจากแป้งแผ่นยัดไส้เนื้อ เห็ด แตงทอด ถั่วงอก บางครั้งใช้เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือปลา ลักษณะคล้ายเกี๊ยว
 

เมื่อโลกเปลี่ยนอาหารเกาหลีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ปัจจุบันอาหารเกาหลีไม่จำเป็นต้องวางสำรับมากมายเหมือนแต่ก่อน เพราะรสนิยมการรับประทานอาหารของคนเกาหลีถูกปรับให้ทันสมัยมากขึ้น โดยการนำอาหารดั้งเดิม และอาหารเพื่อนบ้านอย่างอาหารญี่ปุ่นมาผสมรวมกับอาหารตะวันตก ทำให้ได้เมนูใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย เราจะเห็นได้ว่าอาหารเกาหลีส่วนใหญ่มักมี “ชีส” เป็นส่วนประกอบด้วย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันเท่าไรนัก แต่ความจริงแล้วกลับเข้ากันได้ดีไม่มีที่ติ จนชาวตะวันตกเองยังตกใจกับเมนูอาหารรูปแบบใหม่ของเกาหลีกันเลยทีเดียว แหล่งรวมอาหารรูปแบบใหม่ของเกาหลีหนีไม่พ้นเมืองหลวงอย่าง “นครโซล” เป็นเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ มีประชากรประมาณ 10 ล้านคน และเป็นเขตปริมณฑลที่ใหญ่ มีประชากรประมาณ 25 ล้านคน ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยซึ่งประกอบด้วยบริเวณมหานครอินช็อนและจังหวัดคย็องกี เกือบหนึ่งในสี่ของประชากรชาวเกาหลีใต้อาศัยอยู่ในโซลและชาวต่างชาติอีกประมาณ 275, 000 คน ส่วนร้านอาหารนั้นจะถูกกระจายไปทั่วเมือง แต่จะมีมากในแหล่งอาศัย แหล่งออฟฟิศ รวมถึงมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ ฮงแด, อีแด, ชินชน, อัพกูจอง, กาโรซูกิล และซัมชองดง

Korean Street Food ค่อนข้างมีความหลากหลาย... เริ่มจากร้านอาหารแผงลอยริมถนน ที่เรียกว่า “โพจังมาจา” มักมีอยู่ทั่วไปตามถนนสายหลัก ตรอกซอกซอยและในตลาดต่าง ๆ จึงหาซื้อรับประทานง่าย สะดวก สด สะอาด อร่อย และที่สำคัญคือราคาไม่แพง มีทั้งอาหาร ขนมพื้นเมือง อาหารฝรั่งอย่างไส้กรอก ฮอตดอก ก็มีเสียบไม้ขาย จะยืนรับประทานหรือให้ห่อกลับก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่คนเกาหลีจะยืนรับประทานหน้าแผงขายเลย ส่วนในฤดูหนาวร้านค้าพวกนี้ก็จะนำผ้าพลาสติกมาคลุม กลายเป็นซุ้มขายอาหารสีส้ม ๆ ที่เราเคยเห็นกันอย่างคุ้นตาในภาพยนตร์หรือซีรีส์ อาหารที่จำหน่ายในร้านประเภทนี้มีหลายชนิด อาทิ Eomuk Guk เป็นลูกชิ้นปลาที่มีลักษณะเป็นแผ่น โดยการเสียบไม้ยาว ๆ ต้มในหม้อน้ำซุปที่มีหัวไช้เท้า หอมหัวใหญ่ บางร้านต้มน้ำซุปกับปูทะเลตัวใหญ่ ๆ ใส่รากโสมลงไปด้วย รับประทานพร้อมซอสและน้ำซุป Dakkochi หรือไก่ย่างเสียบไม้ พรมด้วยซอสพริก รสชาติออกจัดจ้านปนหวาน นอกจากนั้นยังมีของทอดอย่าง ไส้กรอก ฮอตดอก หรือเมนูชุบแป้งทอดอื่น ๆ นอกจากนั้นยังมี ซุ้มขายอาหาร ร้านอาหารประเภทนี้จะมีที่นั่งให้ ส่วนใหญ่จะขายแต่อาหารพื้นเมืองเกาหลี โดยจะมีตัวอย่างชุดอาหารเป็นโมเดลจำลองให้ดูก่อนสั่งมารับประทาน แต่ละจานจะได้ปริมาณเยอะ ตกราว ๆ 5000 วอนต่อจาน ร้านค้านี้มองดูคล้ายกับร้านอาหารตามสั่งบ้านเรา ส่วนใหญ่จะออกมาตั้งร้านขายตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ ๆ ไปจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน ในหน้าหนาวจะมีการคลุมผ้าพลาสติกพร้อมกับมีฮีตเตอร์เปิดให้กับผู้ที่เข้าไปนั่งรับประทาน

วิธีการปรุงหรือเทคนิคต่าง ๆ ในการทำอาหารเกาหลียุคใหม่นั้นนับเป็นจุดขายแทบทั้งสิ้น เราจะเห็นได้จากอาหารใหม่ ๆ มักมีการนำชีสเข้ามาเป็นส่วนผสมหลัก โดยการนำเมนูเก่าที่คุ้นเคยมาปรับใหม่เพื่อให้เข้าถึงคนยุคใหม่ อาทิ เมนูหม้อไฟที่เรียกว่า Budae-jjigae ที่มีการนำมอซซาเรลลาชีสมาเป็นส่วนผสม เพื่อให้กลายเป็นเมนูใหม่ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น สำหรับครั้งนี้เราได้นำเมนูยอดฮิตจากย่านดังในเกาหลีมาแนะนำให้รู้จักกัน โดยแต่ละเมนูนั้นมีรสชาติที่เข้ากับคนไทยได้ดี ทั้งยังสามารถหาวัตถุดิบได้ไม่ยากนัก เหมาะกับเป็นมื้ออร่อยในบ้าน หรือจะทำเพื่อการค้าก็ดีเช่นกัน
 

Army base stew (Budae-jjigae)
ร้าน Nolboo (Budae Jjigae) ย่านเมียงดง หม้อไฟรสเข้มข้นแบบเกาหลี ช่วงนี้เห็นกันเยอะมากในเมืองไทย เลยอยากแนะนำให้รู้จักกัน แต่หม้อนี้เราเพิ่มชีสลงไปด้วย เพื่อให้รสชาติเข้มข้นขึ้น
 

ส่วนผสม
เนื้อหมูส่วนหัวไหล่หั่นชิ้นลวกสุก 250 กรัม
วุ้นเส้นเกาหลีแช่น้ำพอนิ่ม 100 กรัม
กะหล่ำปลีหั่นชิ้น 100 กรัม
หอมหัวใหญ่หั่นชิ้นบาง 100 กรัม
ต้นหอมญี่ปุ่นหั่นท่อน 50 กรัม
กิมจิหั่นหยาบ 50 กรัม
ไส้กรอกหั่นแฉลบ 100 กรัม
แฮมกระป๋องหั่นชิ้น (Spam) 120 กรัม
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลี 1 ห่อ
โตวเหมี่ยว 50 กรัม
เต้าหู้ขาวชนิดแข็งหั่นชิ้น 100 กรัม
ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ 30 กรัม
แป้งต๊อก 100 กรัม
เชดดาร์ชีสชนิดแผ่น 2 แผ่น
น้ำซุป

วิธีทำ
1. ใส่กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ ต้นหอมญี่ปุ่น และเนื้อหมู ลงในหม้อ
2. ผสมกิมจิกับส่วนผสมซอสคนพอเข้ากันแล้วตักใส่ลงในหม้อ ไว้เป็นชั้นที่ 2 พร้อมไส้กรอกและแฮม
3. วางแป้งต๊อก เต้าหู้ ถั่วขาว เชดดาร์ชีสลงในหม้อเป็นชั้นที่ 3
4. วางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป วุ้นเส้น โตวเหมี่ยวลงในหม้อเป็นชั้นที่ 4 จากนั้นเทน้ำซุปลงไป
5. นำขึ้นตั้งไฟประมาณ 10 นาทีหรือจนส่วนผสมสุกทั่ว คนให้เข้ากัน จัดเสิร์ฟเป็นถ้วยเล็ก ๆ หรือรับประทานพร้อมกันในหม้อ

ส่วนผสมน้ำซุป
เห็ดหอมแห้งแช่น้ำพอนิ่ม 2 ดอก
ปลากระตักแห้งเกาหลีดึงหัวเอาก้างออก 10 ตัว
สาหร่ายคอมบุแห้งยาวประมาณ 5 นิ้ว 1 ชิ้น
น้ำเปล่า 8 ถ้วยตวง
เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
ต้มน้ำเปล่าพอร้อน ใส่สาหร่ายคอมบุ เห็ดหอม ปลากระตัก และเกลือป่น คนพอเข้ากัน ต้มต่อประมาณ 20 นาที จากนั้นกรองด้วยกระชอน เอาแต่น้ำซุปมาใช้

ส่วนผสมซอส
กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
โคชูจัง (ซอสพริกเกาหลี) 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูเกาหลี 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง 4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมด คนให้เข้ากัน จึงนำไปใช้
 

Scotch Eggs Korean BBQ Sauce
ร้านริมทาง ย่านตลาดบูพยองกังทง เป็นการนำเมนูฝรั่งอย่างไข่สก็อตมาดัดแปลงใหม่ให้เข้ากลายเป็นรสชาติเกาหลี ซอสที่ใช้ราดนั้นเป็นสูตรเฉพาะ มีกลิ่นอายของเกาหลีชัดเจนด้วยการใส่พริกป่นเกาหลี
 

ส่วนผสม
เนื้อหมูสับแช่เย็น 200 กรัม
เนื้อกุ้งสับแช่เย็น 100 กรัม
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
เบคอนตัดยาวประมาณ 4 นิ้ว 15 ชิ้น
ไข่นกกระทาต้มสุกปอกเปลือก 15 ฟอง
ไม้จิ้มฟัน

วิธีทำ
1. ผสมหมูสับ กุ้งสับ แป้งข้าวโพด กระเทียม พริกไทยป่น และซอสถั่วเหลืองเข้าด้วยกัน นวดต่อจนเข้ากันดี พักไว้
2. นำส่วนผสมในข้อที่ 1 แบ่งออกเป็น 15 ส่วนเท่า ๆ กัน แล้วนำมาห่อไข่นกกระทาปั้นให้มีลักษณะเป็นก้อนกลมรี พันด้วยเบคอน ใช้ไม้จิ้มฟันเสียบไว้ นำเข้าอบในไมโครเวฟประมาณ 2 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเซ็ตตัว
3. ตั้งกระทะเทฟลอน นำส่วนผสมในข้อที่ 2 ลงกริลล์จนสุกเหลือง จัดใส่ภาชนะ ราดด้วยซอสบาร์บีคิวเกาหลี จัดเสิร์ฟ

ส่วนผสมซอสบาร์บีคิวเกาหลี
ซอสถั่วเหลือง 3 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 1/4 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
มิริน (เหล้าหวานญี่ปุ่น) 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงาเกาหลี 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1/8 ช้อนชา
พริกป่นเกาหลี 1/2 ช้อนชา
ซอสพริก 2 ช้อนชา
ขิงแก่ขูด 2 ช้อนชา
กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
ต้นหอมสับ 1/2 ช้อนชา
แป้งข้าวโพดผสมน้ำเปล่าเล็กน้อย 2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ผสมซอสถั่วเหลือง น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี น้ำเปล่า มิริน น้ำมันงา น้ำส้มสายชู พริกไทยดำป่น พริกป่นเกาหลี ซอสพริก ขิง กระเทียม และต้นหอมเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนให้น้ำตาลทรายละลาย และส่วนผสมเข้ากันดี
2. ค่อย ๆ เทแป้งข้าวโพดที่ผสมน้ำเปล่าลงไป คนให้เข้ากันจนแป้งสุกมีลักษณะข้นเป็นซอส เทใส่ภาชนะ จึงนำไปใช้
 

Korean Fried Gochujang and Sour Cream Sauce
ร้าน 굿쌀치킨 ใกล้สถานี Gangnam ใครชื่นชอบชีสอยากให้ลองเมนูนี้ เป็นการนำเมนูไก่ทอดแบบเก่า ๆ มาผสมผสานเข้ากับซอสสไตล์เกาหลีประยุกต์ ปิดท้ายด้วยการนำชีสมาอุ่นจนเยิ้มใช้รับประทานคู่กัน
 

ส่วนผสม
เนื้ออกไก่หั่นชิ้น 250 กรัม
เกลือป่นหยาบ 1/4 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1/4 ช้อนชา
ขิงแก่ขูด 1/2 ช้อนชา
มอซซาเรลลาชีสขูด 150 กรัม
ขนมปังทรงกลม
สาหร่ายสำหรับโรย
แป้งทอดกรอบสำหรับคลุก
น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1. ผสมเนื้อไก่ เกลือป่น พริกไทยดำป่น และขิง คลุกเคล้าพอเข้ากัน พักไว้ประมาณ 30 นาที
2. นำไก่ที่หมักได้ที่คลุกกับแป้งทอดกรอบ เขย่าเบา ๆ เอาแป้งส่วนเกินออก
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน นำไก่ลงทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
4. ควักเนื้อขนมปังออก ใส่มอซซาเรลลาชีสในขนมปัง นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 10 นาทีหรือจนมอซซาเรลลาชีสละลาย
5. จัดไก่ทอดใส่ภาชนะ ราดด้วยครีมซอส โรยด้วยสาหร่าย เสิร์ฟคู่กับขนมปังอบมอซซาเรลลาชีสในข้อที่ 4

ส่วนผสมครีมซอส
ซาวร์ครีม (Sour Cream) 150 กรัม
โคชูจัง (ซอสพริกเกาหลี) 2 ช้อนโต๊ะ
นมสด 3 ช้อนโต๊ะ
 
วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมด คนให้เข้ากัน จึงนำไปใช้
 

Spicy Hamburg
ร้าน 언니네함바그 ใกล้มหาวิทยาลัยฮันกุก แฮมเบิร์กแบบญี่ปุ่นก็ถูกนำมาปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยร้านนี้เขาจัดมาในกระทะเหล็กร้อน ๆ จัดเสิร์ฟเต็มชามพร้อมเครื่องมากมาย ที่สำคัญในแฮมเบิร์กนั้นเขายังไม่ลืมที่จะใส่ชีสลงไปด้วย ​​​​​​
 

ส่วนผสม
เนื้อวัวสับ 300 กรัม
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงแก่ขูด 1 ช้อนชา
หอมหัวใหญ่สับ 50 กรัม
แอปเปิลสีเขียวปอกเปลือกขูดเอาแต่เนื้อ 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงาเกาหลี 1/2 ช้อนชา
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ (1) 1 ฟอง
ไข่ไก่ (2) 2 ฟอง
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
มอซซาเรลลาชีสขูด 50 กรัม
ต้นหอมซอยสำหรับโรย

วิธีทำ
1. ผสมเนื้อวัว กระเทียม ขิง หอมหัวใหญ่ เนื้อแอปเปิล ซอสถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำผึ้ง ไข่ไก่ (1) และต้นหอม คลุกเคล้าพอเข้ากัน นวดต่อจนส่วนผสมเหนียว แบ่งส่วนผสมออกเป็น 2 ก้อน ปั้นเป็นก้อนกลม กดให้แบน เล็กน้อย
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ พอร้อน ตอกไข่ไก่ (2) ลงทอดทีละฟองพอสุก ตักขึ้นพักไว้
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชที่เหลือพอร้อน นำส่วนผสมในข้อที่ 1 ลงกริลล์พอสุกทั้ง 2 ด้าน ตักขึ้นพักไว้
4. นำกระทะสำหรับจัดเสิร์ฟตั้งไฟ ใส่ซอสรสเผ็ดพอเดือด วางเนื้อแฮมเบิร์กในข้อที่ 3 ไข่ดาว โรยด้วยมอซซาเรลลาชีส และต้นหอม จัดเสิร์ฟ

ส่วนผสมซอสรสเผ็ด
โคชูจัง (ซอสพริกเกาหลี) 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่นเกาหลี 1 ช้อนชา
เค้กปลาเกาหลีหั่นเป็นเส้น (Fried Fish Cake)  50 กรัม
หอมหัวใหญ่หั่นชิ้น 50 กรัม
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
แคร์รอตหั่นเส้น 30 กรัม
หอมแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำมันงาเกาหลี 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง 1 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันงาพอร้อน ใส่กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ลงผัดพอสุก ใส่แคร์รอต ผัดให้เข้ากัน
2. ใส่โคชูจัง เติมน้ำเปล่า คนพอเข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายไม่ฟอกสี ซอสถั่วเหลือง พริกป่นเกาหลี คนพอเข้ากัน ใส่เค้กปลาเกาหลี ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักขึ้นพักไว้
 

Pancake Ice–Cream Fruit Sauce
ร้าน 카페 컨버세이션 ย่านอัพกูจอง ของหวานร้านนี้เขาขึ้นชื่อมาก แต่ที่อยากแนะนำคือเมนูจากแพนเค้ก ราดด้วยซอสผลไม้ชนิดต่าง ๆ ปิดท้ายด้วยไอศกรีมตามที่ชอบ หวานเย็นชื่นใจดีจริง ๆ
 

ส่วนผสมแป้งแพนเค้ก
แป้งเค้ก 150 กรัม
ผงฟู 1 1/4 ช้อนชา
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำตาลทราย 50 กรัม
นมสด 200 กรัม
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 50 กรัม
เนยสดชนิดเค็มละลาย 50 กรัม
กระทะเทฟลอน
เนยสดชนิดเค็มสำหรับทากระทะ
ผลไม้สดตามชอบ เช่น สตรอว์เบอร์รี กีวี ส้มซันคิส
ไอศกรีมรสนม

วิธีทำ
1. ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู เข้าด้วยกันลงในอ่างผสม พักไว้
2. ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายด้วยหัวตีตะกร้อโดยใช้ความเร็วสูงสุดจนขึ้นฟูเป็นสีเหลืองอ่อน
3. เติมนมสด โยเกิร์ต เนยสดละลาย และกลิ่นวานิลลา ผสมจนเข้ากันดี เทใส่ลงในส่วนผสมแป้ง ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันดี กรองด้วยกระชอน นำเข้าแช่เย็น พักไว้ประมาณ 30 นาที
4. ตั้งกระทะเทฟลอนทาเนยสดบาง ๆ พอร้อน ตักแป้งลงในกระทะกลอกให้เป็นแผ่นวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ทอดจนสุกเหลืองทั้ง 2 ด้าน
5. วางแผ่นแป้งแพนเค้กลงจานเสิร์ฟ ราดซอสสตรอว์เบอร์รี หรือซอสมะนาว วางไอศกรีมรสนม ตกแต่งด้วยผลไม้สดตามชอบ จัดเสิร์ฟ
 
ส่วนผสมซอสสตรอว์เบอร์รี
สตรอว์เบอร์รีแช่แข็งพักไว้ให้คลายความเย็น 150 กรัม
น้ำตาลทราย 70 กรัม
น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
นมสดแช่เย็น 1/4 ถ้วยตวง
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ใส่สตรอว์เบอร์รี น้ำตาลทราย และน้ำเปล่า ลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ คนจนละลาย ยกลง เทใส่เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด เทใส่ภาชนะ
2. เติมนมสด กลิ่นวานิลลา และน้ำมะนาว คนจนเข้ากันดี จึงนำไปใช้

ส่วนผสมซอสมะนาว
น้ำมะนาว 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 80 กรัม
แป้งข้าวโพดผสมน้ำเปล่าเล็กน้อย 2 1/2 ช้อนชา
วิปครีมชนิดจืด 6 ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหารสีเขียวแอปเปิลเล็กน้อย

วิธีทำ
1. ใส่น้ำมะนาว น้ำตาลทราย ลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ คนพอละลายและร้อน แต่ไม่เดือด
2. เติมวิปครีม คนจนส่วนผสมเดือด ใส่แป้งข้าวโพดที่ผสมน้ำเปล่าและสีเขียวแอปเปิล คนต่อจนส่วนผสมมีลักษณะข้นเป็นซอส ยกลง พักไว้ให้เย็นสนิท จึงนำไปใช้

ส่วนผสมไอศกรีมรสนม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำตาลทราย 100 กรัม
วิปครีมชนิดจืด 1 ถ้วยตวง
นมสด 1 ถ้วยตวง
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
พิมพ์ไอศกรีม
ไม้เสียบไอศกรีม

วิธีทำ
1. ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายด้วยหัวตีตะกร้อโดยใช้ความเร็วสูงสุดจนขึ้นฟูเป็นสีเหลืองอ่อน
2. เติมวิปครีม นมสด และกลิ่นวานิลลา ผสมจนเข้ากันดี แล้วกรองด้วยกระชอน
3. เทส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ไอศกรีม นำเข้าแช่เย็นช่องแช่แข็ง ประมาณ 2 ชั่วโมง พอเริ่มแข็งตัว เสียบไม้ไอศกรีม แช่เย็นต่อจนไอศกรีมแข็ง


เรื่อง / TONGTA
ภาพ / ชุลีภรณ์
บทความแนะนำอื่นๆ
สูตรอาหารน่าสนใจ
แสดงความคิดเห็น

* จำเป็นต้องกรอก

คะแนนสำหรับบทความนี้ *
รายละเอียด *
ยังไม่มีรีวิว
บทความใกล้เคียงดูบทความทั้งหมด