ก่อนจะไปดูวิธีการหุงข้าวญี่ปุ่นแบบไม่ซาวน้ำ มาทำความรู้จักกับข้าวญี่ปุ่นกันก่อนดีกว่าค่ะ ข้าวญี่ปุ่นเป็นข้าวที่มียางข้าวเยอะ จึงต้องนวดข้าวและซาวน้ำหลายครั้งก่อนหุงทำให้ใช้เวลานานในการเตรียมอาหาร นอกจากนี้ในการซาวข้าวจะมีฟอสฟอรัสและไนโตรเจนออกมาปนอยู่ในน้ำซาวข้าว ทำให้ยากต่อการล้างให้สะอาด เป็นสาเหตุให้เกิดมลพิษในน้ำและดิน ปัจจุบันมีการพัฒนาข้าวญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องจนเกิดข้าวพันธุ์ใหม่ที่สามารถหุงได้โดยไม่ต้องซาวน้ำขึ้นมา ช่วยประหยัดน้ำ ประหยัดเวลาและขั้นตอนในการหุงข้าวลงไปได้ และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย จะดีกว่ามั้ยถ้าเราได้รับประทานข้าวญี่ปุ่นที่หวานอร่อยและเหนียวนุ่มหนึบเวลาเคี้ยว แบบไม่ต้อง “ซาวน้ำ”
“ข้าวไม่ซาวน้ำ” หรือ "ข้าวมุเซมไม” เป็นข้าวญี่ปุ่นที่สามารถหุงได้ทันทีโดยไม่ต้องซาวน้ำ เป็นข้าวสายพันธุ์แท้ที่ปลูกในประเทศญี่ปุ่น และได้รับความสนใจในฐานะข้าวรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะช่วยประหยัดน้ำและพลังงาน ทั้งยังผ่านกรรมวิธีการขัดสีชั้นรำข้าวออกไปจนเกือบหมด ทำให้มั่นใจได้ว่าโอกาสการเกิดแมลงนั้นน้อยมาก
วิธีหุง “ข้าวมุเซมไม”
เราสามารถหุงข้าวได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องล้างน้ำ อัตราส่วนในการหุงข้าวคือ ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 1.25 ส่วน แช่ข้าวก่อนหุง 30 นาที จะช่วยให้ข้าวมีความหอมหวานและนุ่มมากยิ่งขึ้น หรือหุงแบบอัตราส่วนมาตรฐานคือ ข้าว 100 กรัม ต่อน้ำ 125 กรัม
หรือสามารถดูวิธีหุง “ข้าวมุเซมไม” ได้จากวิดีโอด้านล่างนี้
เทคนิคความอร่อยเพิ่มเติม
- สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานข้าวที่ไม่นุ่มนิ่มเกินไป แข็งเล็กน้อย ให้ลองหุงด้วยอัตราส่วน ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำระหว่าง 115-120 กรัม
- สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานข้าวค่อนข้างนุ่ม ให้ลองหุงด้วยอัตราส่วน ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำระหว่าง 130-135 กรัม และแช่ข้าวก่อนหุงเป็นเวลา 30 นาที
“ข้าวมุเซมไม” หาซื้อได้ที่ไหน
ปัจจุบันเราสามารถหาทาน “ข้าวมุเซมไม” ข้าวญี่ปุ่นแท้ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว โดยมีการนำเข้าข้าวมุเซมไม 4 สายพันธุ์ที่ดีที่สุดที่ปลูกในญี่ปุ่น เข้ามาจำหน่ายแล้วที่ Gourmet Market, Central Food Hall, UFM Fuji Super, AEON, Max Value และ Rimping Supermarket
ข้าวมุเซมไม 4 สายพันธุ์มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
1. ข้าวญี่ปุ่น ข้าวมุเซมไม พันธุ์โคชิฮิคาริ จากจังหวัดนีงาตะ
เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดในญี่ปุ่น ผู้คิดค้นปรับปรุงพันธุ์ต้องการให้เป็น “ข้าวที่เปล่งประกายของประเทศ” ถือเป็นราชาข้าวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีความเหนียวนุ่มมากกว่าพันธุ์อื่น ๆ มีความหอมกำลังดีและมีความหวานที่ลงตัว นับเป็นพันธุ์หลักที่จำหน่ายทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังปลูกอยู่ในหลาย ๆ จังหวัด แต่นิยมปลูกมากในจังหวัดนีงาตะ
2. ข้าวญี่ปุ่น ข้าวมุเซมไม พันธุ์ฮิโตเมะโบเระ จากจังหวัดอิวาเตะ
เป็นข้าวพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์โคชิฮิคาริ และฮัทชิโบฉิ เป็นพันธุ์ข้าวที่มีผลผลิตมากเป็นอันดับสองในประเทศรองจากพันธุ์โคชิฮิคาริ มีความเหนียวนุ่มของข้าว หุงแล้วมีความมันวาว เมล็ดข้าวค่อนข้างใหญ่ ซึ่งแม้ว่าจะหุงเก็บไว้ แต่เมื่อนำกลับมาอุ่นใหม่ก็ยังคงความเหนียวนุ่มของข้าวไว้ไม่เปลี่ยน
3. ข้าวญี่ปุ่น ข้าวมุเซมไม จากจังหวัดนีงาตะ
จังหวัดนีงาตะมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ด้วยภูมิประเทศเป็นที่ราบมีแม่น้ำสองสาย นับเป็นแหล่งสารอาหารอันอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งน้ำที่ละลายจากหิมะทำให้สามารถปลูกข้าวได้รสชาติอร่อย ซึ่งข้าวมุเซมไม จากจังหวัดนีงาตะ เป็นการนำข้าวระหว่าง พันธุ์โคชิฮิคาริ และพันธุ์โคชิอิบุกิ มาผสมรวมกันในถุงเดียว ทำให้ผู้รับประทานได้ลิ้มรสความอร่อยของข้าวพันธุ์ดีจากประเทศญี่ปุ่นได้ในคำเดียว
4. ข้าวญี่ปุ่น ข้าวมุเซมไม พันธุ์อะคิตะโคะมาจิ จากจังหวัดอะคิตะ
พันธุ์อะคิตะโคะมาจิ เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์โคชิฮิคาริ และพันธุ์โออุ 292 โดยปลูกในจังหวัดอะคิตะ จังหวัดที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ข้าวที่ได้จึงได้รับการจัดอันดับในเรื่องรสชาติอร่อยเกรดเอ สามารถรับประทานได้แบบปกติทั่วไป หรือนำมาทำเป็นข้าวซูชิก็ได้ เพราะมีจุดเด่นที่ความเหนียวนุ่มพอดี ไม่มากจนเกินไป